Friday 4 December 2015

เที่ยวไปกินไปในภูเก็ต /// Visit Phuket's Old Town

   
     สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน เมื่อเอ่ยชื่อ ภูเก็ต ท่านคงนึกถึง หาดทรายและทะเลที่สวยงาม แต่ผมมาภูเก็ตครั้งนี้มีโอกาสได้ไปชมเมืองเก่าภูเก็ต ซึ่งเปรียบเหมือนหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตอีกเล่มของที่นี่ รูปแบบตัวอาคารบ้านเรือนที่มีเสน่ห์เหล่านี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ “ชิโนโปรตุกิส” 


     ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างจีนและโปรตุเกส มีสีสันสดใสสวยงาม เช่น สีเขียว เหลือง และชมพู อาคารเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองภูเก็ตในครั้งอดีตได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีอยู่บนถนนสายหลัก เช่น ถนนดีบุก, ถนนกระบี่, ถนนถลางและถนนเยาวราช แต่ผมได้ไปเดินเล่นที่ถนนถลางเป็นหลัก และที่นี่เองผมได้เจอขนมอร่อยที่ถือเป็นขนมพื้นเมืองดั้งเดิมของภูเก็ต คือ 

ขนมบี้ผ้าง
     บี้ผ้าง คือ ขนมข้าวพอง (ข้าวเหนียว) ทอดจนกรอบและคลุกเคล้ากับน้ำตาล, เกลือพร้อมหอมเจียวให้รสกลมกล่อม และตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยม บี้ผ้างกรุบกรอบรสชาติหวานเค็มมีกลิ่นหอมเจียวเบาๆ ทานอันเดียวไม่เคยพอครับต้องมี 3 มี 4 จนเผลอๆ หมดห่อเลยครับ
ที่ถนนถลางนี้ คอกาแฟอย่างผมก็ได้เจอร้าน ถวิลหา ซึ่งเป็นร้านกาแฟเก๋ ตกแต่งน่ารัก บรรยากาศสบายๆ พนักงานเป็นมิตรยิ้มแย้ม กาแฟดีใช้ได้ทีเดียวครับ แถมมีของฝากจุกจิกน่ารักหลายอย่างด้วย

ร้านถวิลหา
     เมื่อเรามาภูเก็ตแล้วก็ต้องไปเยี่ยมร้านอาหารเก่าแก่ดั้งเดิมของภูเก็ตครับ และหนึ่งในนั้นคือ ร้าน ระย้า ว่ากันว่าร้านนี้ใช้เป็นร้านต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นร้านที่อยู่ในตัวตึกเก่าอายุกว่า 100 ปี รูปแบบการตกแต่งภายในร้านก็ยังใช้ของเดิมเกือบทั้งหมด ส่วนตัวผมชอบตรงกระเบื้องปูพื้นกับบันไดกลางร้านครับ บางท่านอาจบอกว่าราคาสูงแต่สำหรับผมว่าคุ้มค่ามากกว่า เพราะคุณภาพของอาหารนั้นคุ้มค่าสมราคาจริงๆ

ร้านระย้า


บันไดดั้งเดิมร้านระย้า


บรรยากาศในร้านระย้า พื้นกระเบื้องของเก่าดั้งเดิม

     ที่ระย้านี่เองที่ผมได้ชิม น้ำพริกกุ้งเสียบ และสามารถใช้คำว่า อร่อยที่สุดได้เลยครับ ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หวาน เปรี้ยว เค็ม มัน และเผ็ดเบาๆ ที่ปลายลิ้น, กะปิดีของภูเก็ต ทำให้มีกลิ่นหอมจางๆ และความเค็มแบบกลมกล่อมออกมาด้วย กุ้งที่ใส่มาในน้ำพริกก็รสดีหวานเค็มกรุบกรอบนิดๆ เพิ่มรสให้น้ำพริกถ้วยนี้ให้อร่อยขึ้นครับ ผักเครื่องเคียงพิถีพิถันในการคัดแต่ส่วนที่อร่อยมาเสิร์ฟ มีทั้งใบมะม่วงหิมพานต์ ขมิ้นขาวและยอดผักกูด ถือเป็นจานสุขภาพที่รสดีได้เช่นกันครับ

น้ำพริกกุ้งเสียบ

     จานที่สองที่ต้องลองคือ แกงเนื้อปูใบชะพลู ที่เสิร์ฟมากับเส้นหมี่ลวก (หรือจะทานกับข้าวสวยก็ได้) ด้วยน้ำแกงเหลืองสูตรเฉพาะของร้าน ที่ไม่ข้นจนเกินไป มากับเนื้อปูม้าเป็นก้อนที่แกะใหม่สดวันต่อวัน กลิ่นไม่คาว รสชาติของน้ำแกงออกมัน หวานและเผ็ดเล็กน้อย พร้อมใบชะพลูที่มีกลิ่นหอม และพอได้ความจืดของเส้นหมี่มาตัดก็กลายเป็นความอร่อยที่ลงตัวครับ

     อีกจานที่ขอแนะนำคือ หมูฮ้อง เป็นจานที่ต้องใช้หมูสามชั้นส่วนราวท้องหั่นชิ้นใหญ่ หมักด้วยเครื่องพะโล้ กระเทียม พริกไทย กว่าชั่วโมงแล้วนำไปเคี่ยวต่ออีกกว่าสามชั่วโมงถึงจะได้หมูที่รสชาติเข้มข้น หวานมัน อบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ ชิ้นหมูที่เปื่อยนุ่มกำลังดี แค่ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้วครับ ได้ยินมาว่าจานนี้เป็นอีกจานที่เจ้าของร้านทำเองทุกขั้นตอน

     นอกจากทั้งสามจานที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเมนู กุ้งผัดพริกไทยดำ, ผักเหลียงผัดไข่ และลูกชิ้นปลาภูเก็ตลวก ที่ลูกใหญ่สะใจเสริฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซบ(มาก) ซึ่งอร่อยทุกจานครับ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องไปลองทานด้วยตัวคุณเองครับ ผมขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าท่านไปภูเก็ตแล้วไม่ได้แวะที่ ระย้า แสดงว่าทริปของท่านยังไม่สมบูรณ์นะครับ

ลูกชิ้นปลาภูเก็ตลวก


     พูดถึงของคาวแล้ว ทีนี้เรามารู้จักกับของหวานของภูเก็ตกันบ้าง อย่างแรกคือ

  

ขนมอาโป๊ง ลักษณะคล้ายทองม้วน เป็นแผ่นแป้งข้าวเจ้าบางกรอบ ทำบนกระทะหลุมใบเล็กตั้งบนเตาอั้งโล่ พอสุกก็ม้วนไว้แต่จะม้วนเป็นวงรี นิยมทานเป็นอาหารว่างเนื่องจากทำง่าย อาโป๊งมีที่มาจากประเทศมาเลเซีย ก็เลยมีอีกชื่อว่า ขนมเบื้องมาเลย์ อย่างสุดท้ายที่จะแนะนำคือ 

โอ้เอ๋ว คือ ขนมวุ้นที่ทำมาจากเมล็ดโอ้เอ๋ว ผสมกล้วยน้ำว้าบด กรองเอากากออกหลังจากนั้นต้มให้เดือดแล้วทิ้งไว้ให้เย็นก็จะเซ็ทตัวแข็งเป็นวุ้น นิยมทานแบบเย็นแก้ร้อนใน คือใส่น้ำแข็ง ถั่วแดงและเฉาก๊วย นิยมสั่งตามสีของแต่ละอัน โอ้เอ๋ว คือ ขาว, ถั่วแดง คือ แดง และเฉาก๊วย คือ ดำ ในไต้หวันและมณฑลฮกเกี้ยน โอ้เอ๋วก็เป็นชื่อเรียกขนมหวานเย็นที่นิยมทานในฤดูร้อน


เหล่านี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของของอร่อยในภูเก็ตเท่านั้นครับ หากท่านมีของอร่อยอย่างอื่นที่ผมยังไม่ได้ทาน ก็กรุณาช่วยบอกกันมาได้ ผมจะได้ใช้เป็นเหตุผลในการกลัมมาเยือนที่นี่อีกครั้ง…..ภูเก็ต



แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป…สวัสดีครับ.....บัญชา เทสท์ BANCHA TASTE

Saturday 28 November 2015

30 นาทีที่พิษณุโลก / 30 mins in Phitsanulok

ผมและเพื่อนได้มีโอกาสขับรถผ่านจังหวัดพิษณุโลกตอนเช้า และก็ต้องแวะนมัสการขอพรพระพุทธชินราช ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโลก และว่ากันว่าสมเด็จพระนเรศวรจะเสด็จมาขอพรทุกครั้งก่อนออกศึกสงคราม และหลังจากกราบนมัสการพระพุทธชินราชแล้ว เรามีเวลาทานอาหารเช้าประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ต้องหาร้านเก่าแก่ประจำจังหวัดสิครับ ร้านนั้นก็คือ ข้าวมันไก่ 'พังกี่' ที่เปิดมากว่า 50 ปี มีหลายสาขา แต่เราไปสาขาหลังวัดเลยครับใกล้มาก /
When we pass Phitsanulok we have to stop by this temple to pay the respect to The Most Beautiful Buddha stature "PraBhuddaChinNaRat" then we have to find quick breakfast as we only have 30 mins that's why we come here - Hynanese Chicken-Rice at 'PangKii' This place has been running for more than 50 years old

ป้ายร้านดั้งเดิม / Old sign

บรรยากาศในร้าน / interior 

ข้าวมันไก่จานเด็ด มีไก่ไทยและไก่พันธุ์ให้เลือก มาพร้อมกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว, พริกสดและกระเทียมสูตรเฉพาะของทางร้าน (ส่วนตัวคิดว่าเค็มไปหน่อย) แต่ข้าวมันของที่นี่เม็ดสวยไม่แฉะ อร่อยมันกำลังดี (ใช้กระทะใบใหญ่หุงข้าวแบบไหหลำดั้งเดิม) ไก่ไทยที่ผมสั่งก็ไม่เหนียว เนื้อแน่น เคี้ยวอร่อยดี / Chicken Rice come with Black bean, Chilli-Garlic sauce, I really like the texture of the rice here as it not too wet like others, just Delicious!

หน้าร้านยังมีหมูสเต๊ะ (ไม่ใช่ของทางร้าน) ให้สั่งทานได้ด้วย ไม้ละ3บาท มาพร้อมกับน้ำจิ้มอร่อยและอาจาด หมูย่างไฟจากถ่านจริง นุ่มหอมดีครับ / in front of the restaurant has Pork Satay (not the same owner) only 3 baht per skewer 

ข้าวมันไก่พังกี่ ถนนพญาเสือ ปากซอย6 (หลังวัดใหญ่) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก
โทร. 055 244 275
เปิด 7 วัน 7.00-14.00น. (ควรจะมาก่อนเที่ยง)

'PangKii Chicken-Rice' Paya Suer Road Soi6 Nai Maung, Phitsanulok 
Open 7 days 7.00am-2.00pm. (Should go before lunch)


ไปพิษณุโลกครั้งหน้า อย่าลืมแวะ'พังกี่'นะครับ / if you ever past Phitsanulok don't forget to visit 'Pangkii' 
จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ...บัญชา เทสท์ / Until next time...BANCHA TASTE